เก็บตกหลังเกม แดงเดือน เวอร์ชั่น FA คัพ

เก็บตกหลังเกม แดงเดือน เวอร์ชั่น FA คัพ

เกมเอฟเอคัพ รอบสี่ ต้องยอมรับว่า คู่เอกประจำรายการรอบนี้ คงเป็นคู่ไหนไม่ได้เลย นั่นก็คือ แดงเดือดเวอร์ชั่น FA คัพที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไรนัก ทั้งคู่เพิ่งใส่กันมาในเกมลีค เสมอกันไป 0-0 แบบเหมือนมีอะไรคาใจกันเล็กน้อย พอมาเกมนี้ต้องยอมรับว่า ทั้งคู่ใส่สุดจริง เพราะไม่มีใครอยากแพ้อริตลอดกาลในถ้วยนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้แก้มือตอนไหนอีก มาดูกันว่าหลังเกมนี้มีประเด็นเก็บตกน่าสนใจกันบ้าง

หงส์แดงกลับมายิงได้

ว่ากันเรื่องหงส์แดง ลิเวอร์พูลก่อน ลงสนามเกมนี้ ลิเวอร์พูลมีปัญหาทั้งกองหน้า และกองหลัง ในคราวเดียวกัน กองหน้าของทีมกำลังอยู่ในสภาพปืนฝืดมาก ยิงใครไม่ค่อยได้เท่าไร แต่เกมนี้เป็นหนึ่งในรอบหลายเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถยิงได้มากกว่า 1 ประตูในเกมเดียว เสียดายอย่างเดียวที่แพ้ไปในเกมนี้ อย่างไรก็ตามนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกเรื่องเดียวที่ทำให้ลิเวอร์พูลยังพอยิ้มได้บ้าง

ความผิดพลาดของกองหลัง

เกมนี้เป็นเกมนัดเดียวตัดสิน ทำให้ทั้งสองทีมรู้ดีว่า สุดท้ายต้องมีผู้ชนะเท่านั้น เลยทำให้แท็คติคในเกมนี้เปลี่ยนไป เป็นการเล่นฟุตบอลเพื่อเอาชนะอย่างแท้จริง ตัวตัดสินของเกมนี้ก็เลยเป็นกองหลังว่าใครจะพลาดมากกว่ากัน จะว่าไปแล้วกองหลังของทั้งคู่ก็มีข้อผิดพลาดด้วยกันทั้งหมด ทั้งรูปแบบการเล่น และการเล่นส่วนบุคคล จนทำให้อีกฝ่ายได้ประตูไป แต่ว่าเป็นทางลิเวอร์พูลที่กองหลังพลาดมากกว่า และ แมนยูฉวยได้มากกว่าก็เท่านั้นเอง

การคัมแบ็ค(อีกแล้ว)

ฝั่งแมนยูกันบ้าง หากใครเป็นแฟนบอลยูไนเต็ด มาตั้งแต่ยุค 90 สิ่งที่เห็นจนชินตาก็คือ การคัมแบ็คกลับมาชนะได้แม้ว่าจะโดนนำไปก่อน ซีซั่นนี้ ยูไนเต็ด ของโซลชา ได้นำคาแรกเตอร์นี่กลับมาอีกครั้ง การโดนนำไปก่อน แล้วพลิกกลับมาชนะได้ 3-2 ในช่วงท้ายของเกม เป็นเรื่องที่แฟนบอลยูไนเต็ดซีซั่นนี้เริ่มชินตา จนถึงนักเตะเองเวลาโดนไปก่อน พวกเค้าไม่มีถอดใจเลยเหมือนมั่นใจว่าจะกลับมาได้ แม้ทีมนั้นจะเป็นลิเวอร์พูลก็ตาม คาแรกเตอร์แบบนี้ แฟนบอลบอก รอมานานแล้ว

เดาใจแท็คติค ลิเวอร์พูล ในวันที่ขาด ฟานไดค์

เดาใจแท็คติค ลิเวอร์พูล ในวันที่ขาด ฟานไดค์

แม้ว่าเชลซี กับ สเปอร์ส จะมาหลุดเสมอแบบน่าเขกกะโหลกตัวเองที่สกอร์ 3-3 แต่เชื่อเหอะว่า ทีมที่น่าสงสารสุดในเกมวีคนี้คงนี้ไม่พ้น ลิเวอร์พูลอย่างแน่นอน การเสมอ 2-2 ยังไม่เสียหายเท่ากับ การที่เค้าต้องเสีย เวอร์กิล ฟานไดค์ ไปแบบตลอดฤดูกาลจากอาการบาดเจ็บ จากการเข้าปะทะกับจอร์แดน พิคฟอร์ด ทีนี้เรามาลองเดาใจกันว่า คล็อปป์จะวางแท็คติคอย่างไรในสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

3-5-2 หรือ 4-3-3

มาว่ากันที่ฟอร์เมชั่นกันก่อน การขาดฟานไดค์ไป เท่ากับว่าเค้าต้องหันกลับมาแก้ไขเกมรับให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่งั้นบุกยิงเท่าไร ก็พร้อมเสียก็เท่ากับแพ้อยู่ดี ทีนี้ฟอร์เมชั่นที่น่าจะเป็นไปได้ ก็น่าจะเป็นเล่นระบบหลังสี่ตัว แล้วส่ง ฟาบินโญ่ ลงมายืนเป็นตัวหลักแทน คู่กับ โจ โกเมส หรือ โจเอล มาติป คนใดคนหนึ่ง

หรืออีกทางเลือกหนึ่ง เรามองว่าเป็นระบบ หลังสาม ใช้ ฟาบินโญ่, โจ โกเมสและ มาติป มาหมดเลยยืนเป็น 3 คนเรียงกัน แล้วใช้วิงแบ็ค คอยหุบเข้ามาช่วยเป็นระบบหลังห้า เพื่อเน้นให้เหนียวเอาไว้ก่อน

มิดฟิลด์ตัวรับสองตัว

ในยามที่เราต้องการไม่เสียประตูเอาไว้ก่อน ทางเลือกแท็คติคส์ที่เป็นไปได้ก็น่าจะเป็นการดึงมิดฟิลด์ตัวรับมาเป็นสองตัว เพื่อช่วยกันลดทอนการบุกของฝ่ายตรงข้ามให้มาถึงกองหลังช้า และ น้อยที่สุด หากเป็นแบบนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น่าจะได้ยืนคู่กับ ไวจ์นัลดุม แล้วส่ง ธิอาโก ไปยืนหน้าสุดเพื่อคอยเชื่อมเกมจากกลางไปหน้าให้กองหน้าสามตัว

ส่วนอีกแบบที่คิดว่าเป็นไปได้น้อยที่สุดหากต้องการใช้มิดฟิลด์ตัวรับสองตัว เป็นการยืนกองกลางห้าคน ให้เฮนเดอร์สัน คู่กับ ไวจ์นัลดุม เหมือนเดิม แล้วให้ ธิอาโก้ ยืนหน้าต่ำ แล้วให้ มาเน่ ค้ำหน้าคนเดียว ซาลาห์ไปยืนปีกซ้าย แล้วอีกทางอาจจะเป็นเกอิต้า หรือ มินามิโนะแทน ต้องดูกันว่า เกม UCL ลิเวอร์พูลจะจัดทัพอย่างไร

ปารีส การทำลายสถิติสุดโหด

ปารีส การทำลายสถิติสุดโหด

ปารีส แซงแชกแมงค์ เรารู้กันดีว่า สิ่งที่เค้าต้องการมากที่สุดนาทีนี้ก็คือ ถ้วยแชมป์ UCL ซีซั่นที่แล้วพวกเค้าทำได้ใกล้เคียงมาก เมื่อเดินทางไปถึงรอบชิงชนะเลิศกันเลย แม้ว่าจะพลาดไปในก้าวสุดท้ายต่อบาเยิร์น มิวนิค ก็ตามที กลับมาซีซั่นนี้พวกเค้ากลับมาพร้อมกับฟุตบอลที่สูงมากขึ้น จนทำให้การมาของซีซั่นนี้พวกเค้าฟอร์มดี และ เล่นเพื่อผลการแข่งขันได้ดีมากขึ้นจนทำให้พวกเค้าทำลายสถิติบางทีลงไปในซีซั่นนี้

หยุดสถิติของ บาร์เซโลนา

ก่อนจะมาถึงรอบนี้ได้ ย้อนกลับไปรอบก่อนหน้านี้ พวกเค้าเจอของแข็งเหมือนกันอย่าง บาร์เซโลนา การได้เจอเพื่อนเก่าอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ทำให้เกมนี้ไม่ง่ายเลย แต่ว่าสุดท้าย ปารีส ก็เอาชนะมาได้ การถีบ บาร์ซา ตกรอบทำให้พวกเค้าได้ทำลายสถิติของ บาร์ซาไปด้วยก็คือ การหยุดสถิติชนะรวด 13 เกม ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของบาร์ซาลงไปได้ แสดงให้เห็นว่าพวกเค้ามีดีพอเหมือนกัน

หยุดสถิติของ บาเยิร์น มิวนิค

พอหลุดจากบาร์ซา นึกว่าหมดแล้ว แต่เป็นด่านที่หินกว่าเดิม ก็คือ บาเยิร์น มิวนิค เรารู้กันดีว่า คุณภาพของยักษ์เยอรมันทีมนี้เป็นอย่างไร เอาแค่ว่า ซีซั่นก่อนจนถึงซีซั่นนี้พวกยังไม่แพ้ใครเลยตลอดเส้นทาง ถือว่าสุดยอดแล้ว ทีนี้มาเกมนี้ กลายเป็น ปารีส ที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ได้ หยุดสถิติไม่แพ้ใคร ไม่เท่านั้น นี่ยังเป็นการตกรอบครั้งแรกของ บาเยิร์น มิวนิค ตลอดเกือบสองซีซั่นในรายการนี้เลยทีเดียว (ครั้งสุดท้ายที่ตกรอบ ก็โน่นเลยรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่บาเยิร์น มิวนิค ถูกลิเวอร์พูลเตะตกรอบในซีซั่น 2018-2019) ถือว่าร้ายกาจมากสำหรับการทำลายสองสถิตินี้ ต้องยอมรับว่าหาก ปารีส สามารถฝ่าด่าน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเล่นรอบชิงได้อีก(ก็ต้องมาดูกันว่า ปารีสจะทำลายสถิติไม่แพ้ใครเลยตลอดซีซั่นนี้ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ในรายการนี้ได้หรือไม่) หากเค้าทำได้อีกการที่เค้าจะได้เป็นแชมป์ UCL สมัยแรกเสียที ถือว่าเหมาะสมทุกประการทั้งปวงเลย

คริสเตียน อีริคเซ่น ทำไมไม่น่าเหมาะกับแมนยู

คริสเตียน อีริคเซ่น ทำไมไม่น่าเหมาะกับแมนยู

ที่ฝั่งอิตาลีมีการเล่นข่าวหนึ่งน่าสนใจมากนั่นก็คือ การเล่นข่าวว่า คริสเตียน อีริคเซ่น เพลย์เมกเกอร์ของอินเตอร์ มิลาน ที่ฟอร์มดิ่งมากทำให้คอนเต้ อาจจะไม่เอาไว้ พร้อมปล่อยออกจากทีมไป รวมถึงมีข่าวว่านักเตะอยากรีเทิร์น หวนคืนถิ่นผู้ดีอีกครั้งหนึ่ง ในข่าวบอกว่ามีอาร์เซนอล กับ แมนยูสนใจ ทำไมเราถึงอยากกาชื่อแมนยูทิ้งจากข่าวนี้

เอามาถมกลาง….

.

มองไปที่รายชื่อของตำแหน่งที่น่าจะทับกับ อีริคเซ่น ตอนนี้ในทีมแมนยู ก็จะมี บรูโน่ แฟร์นันเดส กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ บีค ซึ่งมองยังไงการซื้อเค้ามาก็ต้องสำรองสองคนนี้อยู่แล้ว ไหนจะกองกลางคนอื่นที่มีชื่อยาวเป็นหางว่าวอีก ปอล ป็อกบา, มาติช, เฟร็ด, แม็คโท หรือ มาต้า การเอาเค้ามาก็ทำให้เป็นเรื่องของการถมกลางให้เยอะเกินไปเท่านั้นเอง ไม่ควรอย่างยิ่ง

ปั้น เดอ บีค ดีกว่า

จากข้อแรก การมาของ อีริคเซ่น ค่าตัวตามข่าวคาดการณ์ว่า 27 ล้านปอนด์ ถือว่าไม่ถูกนะในเศรษฐกิจแบบนี้ หากซื้อมาจะเอาไว้นั่งข้างสนามก็กระไรอยู่ แต่ถ้าจะเอามาจริง เรามองว่า สู้ปั้น ฟาน เดอ บีคลงสนามต่อเนื่องดีกว่าอีก ตอนนี้เดอบีคเองก็เริ่มเข้าที่ เข้าทาง เล่นเข้ากับทีม สไตล์ แท็คติคของโซลชาร์ได้ดีขึ้น ไม่น่าไปเสี่ยงอะไรแบบนั้น

นักเตะฟอร์มไม่ดี

แล้วเอาจริง ฟอร์มของ อีริคเซ่น ตอนนี้มันช่างแตกต่างกับตอนที่เค้าจะจากไปในซีซั่นสุดท้ายกับสเปอร์สอย่างมาก การเล่นทั้งยิง ทั้งจ่าย ทื่อมากสถิติในซีซั่นนี้ลงเล่นให้อินเตอร์ 8 นัด ทำประตูไม่ได้ แอสซิสต์ไม่ได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว การซื้อเข้ามามองว่าไม่ได้เป็นการยกระดับนะ มองว่าเป็นการสร้างภาระให้กับทีมมากว่า ไหนจะค่าเหนื่อยที่ต้องสูงมากด้วย แทนที่ซื้อมาจะได้ใช้เลย ต้องมาเร่งฟอร์มกันอีก เสียเวลา สรุป แมนยู ไม่น่าจะเอาเค้ามาแน่นอน

สรุปผลงานนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกยูโร 2020

สรุปผลงานนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกยูโร 2020

เดิมทีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่มีนักเตะเป็นส่วนร่วมรายการสำคัญของทีมชาติอยู่แล้วเกือบทุกทัวร์นาเมนต์ แต่ช่วงหลังด้วยสภาพของทีมที่ดร็อปลงไป เลยไม่แปลกที่จำนวนนักเตะที่จะเข้าร่วมก็น้อยลงไปด้วย เราดูฟอร์มพวกเค้าในศึกยูโรกลางปีนี้กันว่า ในเวอร์ชั่นทีมชาติพวกเค้าทำผลงานได้ดีแค่ไหน

ฝรั่งเศส

เริ่มกันที่แชมป์โลกฝรั่งเศส แน่นอนว่าชื่อเดียวที่ติดโผไปเล่นคราวนี้ด้วยก็คือ ปอล ป็อกบา กองกลางตัวตัดผมของทีม การไปเล่นของเค้าโดยภาพรวม ถือว่าน่าผิดหวังเหมือนกัน สถิติลงเล่น สี่เกม ทำได้หนึ่งประตู แอสซิสต์อีกหนึ่งครั้ง น่าจะดี ส่วนเกมรับ แท็คเกิ้ลไปเจ็ดครั้ง แต่เราคาดหวังฟอร์มที่ดีกว่านี้ ยิ่งในเกมกับสวิสที่เจ้าตัวเล่นติดประมาทมากไปหน่อยจนทำให้พลาดเสียบอลแล้วกลายเป็นจุดเปลี่ยนทำให้สวิสตีเสมอได้เนี่ย อันนี้มันน่าโดนด่า ยิ่งบวกกับท่าดีใจเวอร์ก่อนหน้านี้ด้วย มันเลยทำให้เจ้าตัวโดนมองแบบหมั่นไส้เล็กๆ

เนเธอร์แลนด์

อัศวินสีส้ม เนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ที่คุ้นปากดีในบ้านเรา มีดอนนี่ ฟาน เดอ บีค ติดทีมไปด้วย ว่ากันตามตรง การติดทีมของเจ้าตัวเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายเหมือนกัน เนื่องจากว่าในสโมสรเจ้าตัวก็ยังไม่ได้ลงเล่นแบบสม่ำเสมอ กลับติดทีมชาติจะให้ลงมันก็ดูยังไงอยู่ ทำให้การติดยูโรหนนี้เหมือนเสียเที่ยวเปล่า เพราะว่าเจ้าตัวไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่นาทีเดียว เลยไม่รู้จะบอกว่าฟอร์มเป็นอย่างไร สถานการณ์แบบนี้เท่ากับว่าเจ้าตัวต้องรีดฟอร์มให้ดีมากขึ้นในซีซั่นหน้า เพราะไม่งั้นเจ้าตัวอาจจะหลุดทีมชาติได้

สกอตแลนด์

อีกหนึ่งทีมชาติที่หลุดเข้ามาเล่นยูโรกลางปีนี้ได้แบบน่าเหลือเชื่อ ก็คือ สกอตแลนด์ พวกเค้าห่างหายจากการเล่นทัวร์นาเมนต์หลักไปนานมากแล้ว อย่างไรก็ตาม การกลับมาคราวนี้มีนักเตะผีแดงไปเล่นด้วยคนหนึ่งก็คือ น้องแม็ค สกอตต์ แมคโทมิเนร์ ฟอร์มของเค้าในทัวร์นี้ลงเล่นไปสามเกม ไม่ได้ทั้งสกอร์ และแอสซิสต์เลย ทำได้เพียงแค่แท็คเกิ้ลได้สามครั้งเท่านั้น ถือว่าฟอร์มโดยรวมเงียบเหมือนกัน จนเราต้องบอกเลยว่าผิดฟอร์มไปเยอะเลย แม้จะวิ่งสู้ฟัดอย่างเต็มที่ แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไรนัก

แจ็ค กรีลิช กับความเป็นสุดยอด แอสซิสต์

แจ็ค กรีลิช กับความเป็นสุดยอด แอสซิสต์

วันก่อนมีการสรุปสถิติที่น่าสนใจออกมา นั่นก็คือ สถิติยอดดาวยิงที่ทำประตูได้มากที่สุดของห้าลีคใหญ่ในเวลานี้ อีกสถิติหนึ่งเป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์ (ส่งบอลให้เพื่อนทำประตู) ได้มากที่สุดของ 5 ลีคใหญ่ของยุโรป ซึ่งอันดับที่ 1 เป็นของ แฮร์รี่ เคนทำได้ 11 ครั้ง ส่วนอันดับที่ 2-5 ทำได้เท่ากันที่ 10 ครั้ง ส่วนมากมาจากทีมใหญ่ มีคนเดียวที่สอดแทรกเข้ามาก็คือ แจ็ค กรีลิช ตัวแทนจากแอสตัน วิลล่า อะไรทำให้เค้าทำสถิติมาได้ถึงตรงนี้

กล้าจ่ายแบบไม่มีกั๊ก

หากใครจะขึ้นแท่น แอสซิสต์ ได้ ต้องบอกเลยว่าคนนั้นจะต้องมีความกล้าจ่ายแบบไม่มีกั๊กเลย แจ็ค กรีลิช เป็นนักเตะแบบนั้นเลย เค้าพร้อมที่จะจ่ายบอลทุกครั้งหากเพื่อนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า ไม่เสี่ยงเล่นเองในจังหวะควรจ่าย เรียกได้ว่าจังหวะไหนควรทำอะไร แจ็ค กรีลิช ทำได้ตามต้องการ นั่นก็เลยทำให้เจ้าตัวมีโอกาทำแอสซิสต์บ่อยๆให้กับตัวเอง

กล้าฝ่าดงคู่ต่อสู้

วิธีการเล่นของ แจ็ค กรีลิช อาจจะเหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย เนื่องจากว่าเค้าจะต้องกล้าเลี้ยงฝ่าเข้าดงของคู่ต่อสู้ เพื่อเรียกฟาล์วบ้าง หรือบางทีเรียกผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามมาให้รุมตัวเอง เพื่อสร้างพื้นที่เล่นให้กับเพื่อนร่วมทีม การเลี้ยงฝ่าผู้ต่อสู้นั้นต้องใช้ใจ และ ทักษะการเล่นฟุตบอลของตัวเองควบคู่กัน แจ็ค กรีลิช มีความคล่องมาก นั่นทำให้เค้ากล้าที่เลี้ยงเข้าไปแบบไม่กลัวเสียบอล จนเข้าไปถึงเขตพื้นที่สุดท้าย จากนั้นก็จ่ายคิลเลอร์พาสให้เพื่อน เข้าทำประตู

เพื่อนวิ่งหาตำแหน่งดี

จะทำแอสซิสต์ได้นั้น ไม่ได้เป็นแค่คนจ่ายอย่างเดียว คนรับบอลเองก็ต้องมีประสิทธิภาพด้วย ตอนนี้ แอสตัน วิลล่า ตัวแนวรุกนี่จิ๊ดจ๊าดกันทุกคนเลย วัตกินส์ , ตราโอเร่, บาร์คลี่ย์ เอาแค่สามคนนี้วิ่งหาช่องกันให้ควั่กเลย ทีนี้พอวิ่งหาช่องแล้ว แจ็ก กรีลิชจ่ายบอลไป พวกนี้เล่นเองได้หมดยิ่งถ้าเป็นเกมสวนกลับ บอกเลยว่า แจ็ค จ่ายเพื่อนวิ่งไปทำทางรอแล้วเข้าทำประตูได้เลย เหมือนการเล่น ฟาสต์เบรกของเกมบาสเกตบอล นั่นเอง

สถิติจอมเรียกใบเหลือง ใครเป็นใคร

สถิติจอมเรียกใบเหลือง ใครเป็นใคร

สถิติบางอย่างหลายคนอาจจะมองว่าไม่เกี่ยวกับเกมฟุตบอลเท่าไร แต่เอาเข้าจริงมันกลับสะท้อนอะไรบางอย่างออกมาได้เหมือนกัน ล่าสุดได้มีการเปิดเผยสถิตินักเตะที่เรียกใบเหลืองจากฝ่ายตรงข้ามได้มากที่สุด จากการฟาวล์ เรามาลองเดากันว่า ใน 3 อันดับแรกใครจะเป็นผู้ครองตำแหน่งนี้ไป

อันดับที่ 1 อดาม่า ตราโอเร่
อันดับที่ 1 เชื่อว่า หลายคนคงนึกภาพออกว่าเป็นใคร ใช่แล้ว แนวรุกสุดล่ำบึ้กจาก วูลฟ์ อย่าง อดาม่า ตราโอเร่ ยืนหนึ่งมาแบบไม่มีต้องคิดมากด้วยสถิติเรียกใบเหลืองไปแล้ว 20 ใบ ที่เป็นแบบนี้เพราะว่า แบ็คที่เจอกับเค้า หยุดเค้ายากมาก ตราโอเร่ มีทั้งความเร็ว ความหนา ความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายแบบเกินที่ใครจะต้าน เลยไม่แปลกที่หลายจังหวะแบ็คอาจจะหยุดได้ด้วยการสไลด์ แต่หลังจากเกมผ่านไปสัก 50 นาทีล่ะ เค้าจะหยุดอย่างไรในเมื่อร่างกายน่วมจากการปะทะไปหลายครั้งแล้ว สุดท้ายต้องยอมรับดึง รั้ง ฉุด เพื่อทำฟาวล์เพื่อหยุดเค้าให้ได้ ขนาด โรเบิร์ตสัน ว่าแน่ๆ เจอตราโอเร่เข้าไปก็จิตตกเหมือนกัน แถมโดนเหลืองด้วย

อันดับที่ 2 วิลฟรีด ซาฮา
อันดับที่ 2 ถือว่าไม่พลิกโผเท่าไร กับ วิลฟรีด ซาฮา ปีกตัวพลิ้วจาก คริสตัล พาเลซ คนนี้บอกเลยว่าฝีเท้าควรจะไปเล่นให้ทีมใหญ่กว่านี้ได้แล้ว ในซีซั่นหน้า สำหรับเค้าเองใครที่ด้วย ต้องบ่นปวดหัวแน่นอน ความเร็ว ความคล่องตัว ความพลิ้วของเค้าถือว่าจับได้ยากมาก หากช้าไปเพียงหนึ่งจังหวะ หรือ 1-2 วินาที บอกเลยว่าเราอาจจะได้เห็นแต่แผ่นหลังของเค้าเท่านั้น จึงไม่แปลกที่หลายคนหยุดไม่อยู่ต้องยอมตัดฟาวล์ก่อนเข้าพื้นที่สุดท้าย ไม่งั้นก็ตูม ตุงตาข่ายเรียกใบเหลืองไป 19 ใบ

อันดับที่ 3 แจ็ค กรีลิช
คนนี้ถือว่าเซอร์ไพร์สนิดหน่อย สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามทุกทีมในพรีเมียร์ลีค แจ็ค ถือว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญของแอสตัน วิลลา ในนาทีนี้เลย การเล่นกองกลางของเค้าน่าทึ่งมาก ทั้งเลี้ยง ยิง จ่าย ดูอันตรายไปหมด ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องยอมตัดฟาวล์เพื่อไม่ให้เสียประตู เรียกไป 17 ใบในเกมนี้ จากสถิตินี้แสดงถึงความยอดเยี่ยมของเจ้าตัวด้วยที่อันตรายจนฝ่ายตรงข้ามต้องยอม

ลิเวอร์พูล กับความคาดหวังในซีซั่นใหม่

ลิเวอร์พูล กับความคาดหวังในซีซั่นใหม่

จำได้ว่าเพิ่งจะชูถ้วยโทรฟี่กันไปไม่เท่าไร ตอนนี้ไม่อีกถึง 1 สัปดาห์ แชมป์เก่าอย่างพวกเค้าก็กำลังจะต้องลงทำการป้องกันแชมป์แล้ว แน่นอนว่าการเป็นแชมป์ยาก แต่การรักษาแชมป์นั้นยากกว่า ตอนนี้ลิเวอร์พูลคงกำลังจะเจอสถานการณ์ที่ว่านั้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามก่อนที่จะลงเตะกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เรามาดูกันว่า เป้าหมายและสิ่งที่กองเชียร์อย่างเราคาดหวังได้นั้นมีอะไรบ้าง
ป้องกันแชมป์
มองไปที่ลีค ผลงานอันยอดเยี่ยมของพวกเค้าที่ลงเล่นไป 38 เกม ชนะ 32 เสมอ 3 แพ้ 3 เก็บได้ 99 คะแนน เป็นแชมป์ก่อนปิดซีซั่นถึง 7 เกม มันคงเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีช ที่คงจะไม่มีใครทำลายได้โดยง่าย บวกกับพวกเค้าไม่เสียนักเตะไปเลย ทีมอื่นก็เสริมทัพไม่ได้มากจากโควิท 19 นั่นทำให้ เป้าหมายเดียวของลิเวอร์พูลในลีคที่ต้องทำให้ได้มีเพียงแค่อย่างเดียวนั่นก็คือ การป้องกันแชมป์ลีคให้ได้อีกครั้งหนึ่ง แม้จะยากแต่มองดูแล้วถ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่ได้เมสซี่มา พวกเค้าก็มีโอกาสทำสำเร็จเหมือนกัน แม้จะไม่ได้สวยหรูเหมือนซีซั่นที่แล้วก็ตามที
บอลถ้วย ต้องได้ 1 ถ้วย
มองไปที่รายการบอลถ้วยในประเทศ เอาถ้วยลีคคัพก่อน โดยปกติถ้วยนี้ลิเวอร์พูลก็มักจะใช้เป็นเวทีแจ้งเกิดของดาวรุ่ง และนักเตะสำรองลงมายืดเส้นยืดสายกันบ้าง ทำให้ผลงานบางครั้งไม่ค่อยดีเท่าไร เอาเป็นว่าถ้าทีมสำรองหรือชุดผสมสามารถหลุดไปได้ถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย เชื่อว่าคล็อปป์น่าจะเอาจริงไปถึงแชมป์ให้ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องว่ากัน ส่วนเอฟเอคัพ น่าจะเป็นเป้าหมายที่ลิเวอร์พูลต้องการมากกว่า สองถ้วยในประเทศ เรามองว่าเป้าหมายน่าจะอยู่ที่การคว้ามา 1 ถ้วยเป็นอย่างน้อยซึ่งต้องเป็นเอฟเอคัพอย่างแน่นอน
แชมป์ UCL สมัยที่ 7
เกมฟุตบอลยุโรป ซีซั่นที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ตกรอบด้วย ฝีมือของแอต.มาดริด ที่ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเกมดราม่าของซีซั่นเลยก็ว่าได้ เรามองว่าซีซั่นนี้ คล็อปป์ น่าจะหันมาขอแก้มือในถ้วยนี้อีกครั้ง ด้วยนักเตะที่อยู่กับพร้อมหน้า บอกเลยว่าเป้าหมายคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากแชมป์ UCL สมัยที่ 7 เท่านั้น หากแข่งกันแบบทัวร์นาเมนต์อย่างนี้อีก บอกได้เลยว่ามีลุ้นแน่นอน

อนาคตโดเมเน็ค ประเด็นทั้งหลายทั้งปวงและฟอร์มการเล่นของทีมในระยะหลังที่หนักไปทางแย่เสมอ

โดเมเน็ค
โดเมเน็ค

อนาคตโดเมเน็ค ประเด็นทั้งหลายทั้งปวงและฟอร์มการเล่นของทีมในระยะหลังที่หนักไปทางแย่เสมอ อย่าง จืดซืดนำมา สู่คำถามที่ว่า อนาคตของโดเมเน็คจะเป็นอย่างไรหรือพูดอีกแบบคือเขาสมควรจะได้รับความไว้วาง ใจให้คุมทีมต่อไปหรือไม่

ว่าไปแล้วคำถามนี้เห็นจะต้องพิจารณากันจริงๆ จังๆ หลังเกมกับไอร์แลนด์เพราะหากฝรั่งเศสแพ้หรือเก็บคะแนนจากดับลินกลับมาได้แค่ แต้มเดียว หนทางสู่เยอรมัน 2006 ของพวกเขาก็ตีกลับทันที เผลอๆ อาจจะไม่มีลุ้นเพลย์ออฟด้วยซ้ำ ณ ขณะนี้ ฌอง-ปิแอร์ เอสกาแลตต์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศสคนใหม่ยังไม่ขอแสดงความเห็นขณะที่ มิเชล พลาตินี่ ว่าที่ผู้สมัครชิงประธานยูฟ่า ก็บอกว่าสมควรจะต้องให้เวลาโดเมเน็คในการสร้างทีมมากกว่านี้ และสำหรับ เอมเม่ ฌักเก้ต์ผู้อำนวยการการเทคนิคทีมชาติที่หนุนหลังโดเมเน็คมาตั้งแต่ต้นแล้ว การสร้างทีมนอกจากจะต้องใช้เวลาแล้วยังต้องใช้ความอดทนอีกด้วย จะใช้อะไรบ้างก็ตามที่โลร็องด์ บล็องก์ และหากเป็นเช่นนั้นจริงในวันหนึ่ง เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการสร้างทีมในแบบที่แฟนบอลตราไก่อยากจะ เห็นก็เป็นไปได้

ก็มาติดตามและรอดูกันต่อไปนะครับว่าอนาคต ของโดเมเน็คจะเป็นอย่างไรต่อไป จะรอดพ้นวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่ หรือจะมีไม้เด็ดก้นหีบที่ยังไม่เปิดเผยออกมา ไม้เด็ดที่จะสามารถช่วยกอบกู้สถาณการณ์ที่เป็นอยู่ได้ เรามาคอยช่วยลุ้นและติดตามให้กำลังใจไปกับเขากันเถอะ จะดีหรือจะร้าย ยังไงเราก็คอยเชียร์นายนะ

เวส บราวน์ กลับมาอย่างราชัน

เวส บราวน์
เวส บราวน์

ครั้งหนึ่ง เวส บราวน์ เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นกองหลังดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองผู้ดี ก่อนที่จะถูกริโอ้ เฟอร์ตินานด์ เข้ามาแย่งความเป็นหมายเลขหนึ่งในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดไป

นักเตะคู่บารมีของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยใช้ความเพียรพยายามหลายครั้ง เพื่อทวงความเป็นหมายเลขหนึ่งของเขากลับคืนมา แต่น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บรุนแรงขึ้นที่เอ็นหัวเข่าถึงสองครั้ง ทำให้เขาหมดโอกาสกลับมาต่อสู้โดยปริยาย

จึงต้องบอกว่าในเวลานี้ ชื่อของ เฟอร์ดินานด์,โซล แคมป์เบลล์,จอห์น เทอร์รี่ และอาจจะรวมไปถึง แม็ทธิว อัพสัน ได้แซงหน้าเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับในสายตาของคนเป็นกุนชือทีมชาติอังกฤษอย่าง สเวน โกรัน อีริคส์สัน

บราวน์เคยคิดที่จะย้ายออกจากถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดในช่วงต้นฤดูกาลนี้เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตัวเอง หลังจากที่ตกเป็นตัวสำรองจนชินชา

แต่ในที่สุดของก็ตัดสินใจขออยู่สู้ต่อ และหลังจากที่เขายอมต่อสัญญาใหม่กับสโมสรออกไปอีกเป็นเวลา 4 ปี โอกาสก็ดูจะกลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง หลังอาการบาดเจ็บและติดโทษแบนของผู้เล่นตัวหลัก ๆ อย่าง แกรี่ เนวิลล์ และ มิกกาเอล ซิลแวสต์

บราวน์เผยว่าชีวิตของเขาในเวลานี้ ดูจะกลับไปสวยงาม เหมือนสมัยที่เขาก้าวขึ้นมาสู่ทีมของท่านเซอร์ใหม่ๆ เมื่อสามปีก่อน

ผมรู้สึกดีเอามากๆที่เดียวในตอนนี้ นอกจากนั้นความเชื่อมั่นยังกลับมาเหมือนเดิมอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ผมคงต้องพยายามรักษาตำแหน่งตัวจริงเอาไว้ให้ได้ เพราะจะว่าไปแล้วตอนนี้ผมยังเข้าๆออกๆในทีมอยู่