ทริปเปียร์ ทำเซอร์ไพรส์ คาดลงตัวจริงแทน ลุค ชอว์ ในเกมรอบรองชนะเลิศยูโร 2024

อังกฤษ เตรียมส่ง ทริปเปียร์ ลงสนามในเกมสำคัญพบ เนเธอร์แลนด์

ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2024 รอบรองชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติ อังกฤษ และทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ที่จะมีขึ้นในวันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2567 เวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ สนามซิกนัล อิดูนา พาร์ค เมืองดอร์ทมุนด์ ประเทศเยอรมนี มีรายงานว่า คีแรน ทริปเปียร์ (Kieran Trippier) แบ็คขวาจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (Newcastle United) มีแนวโน้มที่จะได้ลงสนามเป็นตัวจริงในตำแหน่งแบ็คซ้าย แทนที่ ลุค ชอว์ (Luke Shaw) แบ็คซ้ายตัวเก่งจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

การตัดสินใจที่สร้างความประหลาดใจ

การตัดสินใจของ แกเร็ธ เซาธ์เกต (Gareth Southgate) ผู้จัดการทีมชาติ อังกฤษ ในการส่ง ทริปเปียร์ ลงสนามแทน ชอว์ นั้น สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลและนักวิจารณ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ ชอว์ ได้ลงสนามในฐานะตัวสำรองในช่วงท้ายเกมรอบก่อนรองชนะเลิศที่ อังกฤษ เอาชนะจุดโทษ และสามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ได้รับพบว่า เซาธ์เกต มีความกังวลเกี่ยวกับความฟิตของ ชอว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการลงเล่นเต็ม 90 นาที เนื่องจาก ชอว์ เพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ และได้ลงสนามเพียง 42 นาทีในรอบก่อนหน้านี้เท่านั้น นอกจากนี้ ก่อนหน้านั้นชอว์ไม่ได้ลงเล่นในระดับสโมสรมาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์

เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ

นอกเหนือจากปัญหาความฟิตของ ชอว์ แล้ว เซาธ์เกต ยังเชื่อว่าความสามารถในการเล่นเกมรับของ ทริปเปียร์ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับแนวรุกของ เนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดนเซล ดัมฟรีส์ (Denzel Dumfries) ปีกขวาตัวจี๊ดที่มักจะวิ่งขึ้นมาร่วมเกมรุกอยู่บ่อยครั้ง
ในการแถลงข่าวก่อนเกม เซาธ์เกตได้กล่าวชื่นชมบทบาทของทริปเปียร์ในทีมชาติ อังกฤษ ว่า “เขา (ชอว์) ให้ความสมดุลกับทีม แต่ ทริปเปียร์ ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก เขาได้ลงเล่นในคืนสำคัญๆ ให้กับเรามาแล้วหลายครั้งในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นกำลังสำคัญทั้งในและนอกสนาม เราโชคดีมากที่มีเขาอยู่ในทีม”

ความคาดหวังสูงในเกมรอบรองชนะเลิศ

การพบกันระหว่างอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในรอบรองชนะเลิศ ยูโร 2024 นี้ ถือเป็นเกมที่หลายฝ่ายให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองทีมต่างมีนักเตะระดับแนวหน้าของโลกอยู่ในทีม และมีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมตลอดทัวร์นาเมนต์
สำหรับทีมชาติ อังกฤษ การเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ต่อเนื่องจากการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึก ยูโร 2020 (ที่จัดขึ้นในปี 2021 เนื่องจากการระบาดของโควิด-19) และรอบรองชนะเลิศใน ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ทำให้แฟนบอลชาว อังกฤษ ต่างคาดหวังว่าทีม สิงโตคำราม จะสามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะฟุตบอลโลกในปี 1966
ในขณะเดียวกัน ทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ก็มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานให้ดีกว่าใน ยูโร 2020 ที่พวกเขาตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยทีมแข้งสีส้มมีนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงพีคของฟอร์มการเล่น

ความพร้อมของทั้งสองทีม

ทีมชาติ อังกฤษ นอกจากประเด็นเรื่องการเลือกใช้ ทริปเปียร์ แทน ชอว์ แล้ว ยังมีความพร้อมในแนวรุกที่น่ากลัว นำโดยกัปตันทีมอย่าง แฮร์รี เคน (Harry Kane) ที่ยิงประตูได้อย่างต่อเนื่องในทัวร์นาเมนต์นี้ รวมถึงนักเตะดาวรุ่งอย่าง ฟิล โฟเดน (Phil Foden) และ บูคาโย ซาก้า (Bukayo Saka) ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับคู่แข่งได้ตลอดเวลา
ส่วนทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ภายใต้การนำของ โรนัลด์ คูมัน (Ronald Koeman) กุนซือมากประสบการณ์ ก็มีความพร้อมไม่แพ้กัน โดยมีนักเตะคุณภาพสูงอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ คอยคุมเกมรับ และแนวรุกที่อันตรายนำโดย โคดี้ กั๊คโป (Cody Gakpo)
การแข่งขันระหว่างทีมชาติ อังกฤษ และทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ในรอบรองชนะเลิศ ยูโร 2024 นี้ จึงเป็นเกมที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ชนะจะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เพื่อชิงถ้วยรางวัลอันทรงเกียรติของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปต่อไป
แฟนบอลสามารถติดตามการแข่งขัน และ แทงบอลยูโร 2024 ได้ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ที่ให้บริการ นอกจากนี้ การแทงบอลยูโร 2024 ยังเป็นที่นิยมมากในหมู่แฟนบอล เนื่องจากสามารถเพิ่มความสนุกและความตื่นเต้นให้กับการชมการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

อาร์เซนอลปิดดีล รายาย้ายถาวร 27 ล้านปอนด์จากเบรนท์ฟอร์ด

อาร์เซนอล (Arsenal) ประกาศคว้าตัว ดาบิด รายา (David Raya) นายทวารทีมชาติ สเปน จาก เบรนท์ฟอร์ด (Brentford) แบบถาวรด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ หลังจากยืมตัวมาใช้งานในฤดูกาล 2023/24

รายา คว้าถุงมือทองคำในฤดูกาลแรกกับปืนใหญ่

ดาบิด รายา (David Raya) วัย 28 ปี ย้ายมาร่วมทีม อาร์เซนอล ด้วยสัญญายืมตัวในฤดูกาลที่ผ่านมา โดยปืนใหญ่จ่ายค่ายืมตัว 3 ล้านปอนด์ให้กับ เบรนท์ฟอร์ด (Brentford) ก่อนที่จะตกลงจ่ายเงินเพิ่มอีก 27 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวแบบถาวร

ผู้รักษาประตูชาว สเปน กล่าวผ่านเว็บไซต์สโมสรว่า “หลังจากยืมตัวมาหนึ่งปีในฐานะนักเตะปืนใหญ่ ผมสามารถพูดได้ในที่สุดว่าผมเป็นนักเตะ อาร์เซนอล อย่างเต็มตัวแล้วสำหรับหลายปีข้างหน้า ผมตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ก็จะใช้ชีวิตและสนุกกับปัจจุบันด้วย”

“มันเป็นความฝันที่เป็นจริงที่ได้มาอยู่ที่นี่ ผมอยากขอบคุณแฟนๆ ทุกคนสำหรับการสนับสนุนที่มอบให้ผมตลอดปีที่ผ่านมา”

รายาคว้ารางวัลถุงมือทองคำใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลแรกกับ อาร์เซนอล โดยเก็บคลีนชีตได้ 16 นัดในลีก และรวมทั้งหมด 20 นัดจาก 41 นัดที่ลงสนาม เขาช่วยให้ทีมจบอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกและเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในแชมเปียนส์ลีก

อาร์เตตา ชื่นชมรายาเป็นกำลังสำคัญในห้องแต่งตัว
มิเกล อาร์เตตา (Mikel Arteta) กุนซือปืนใหญ่ ซึ่งเลือกใช้รายาเป็นมือหนึ่งแทนที่ อารอน แรมส์เดล (Aaron Ramsdale) กล่าวว่า “ดาบิด แสดงให้เราเห็นในฤดูกาลที่แล้วว่าเขาเป็นนักเตะที่สำคัญสำหรับเรามากแค่ไหน เราจึงดีใจมากที่ตอนนี้เขาเป็นนักเตะของเราอย่างเป็นทางการแล้ว”

“เขามีตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในห้องแต่งตัวของเรา และเรายินดีมากที่จะได้ทำงานร่วมกับเขาต่อไป เรารู้ว่าเขาจะนำพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่เขาวางไว้ในฤดูกาลที่แล้วมาต่อยอด และพัฒนาขึ้นไปอีกในปีต่อๆ ไป”

เอดูวาร์ดู (Eduardo) ผู้อำนวยการกีฬาของ อาร์เซนอล กล่าวเสริมว่า “เรามีความสุขมากที่ได้ปิดดีลคว้าตัว ดาบิด จาก เบรนท์ฟอร์ด เขามีฤดูกาลแรกที่ยอดเยี่ยมกับเรา เขาเป็นนักเตะทีมชาติที่มีพรสวรรค์ เป็นมืออาชีพชั้นยอด และเป็นที่นิยมในสโมสร”

อนาคตของ แรมส์เดล จะชัดเจน หลังยูโร 2024

ในขณะที่รายาตกลงย้ายมาอาร์เซนอลอย่างถาวร ทุกทางเลือกยังคงเปิดกว้างสำหรับอนาคตของ อารอน แรมส์เดล (Aaron Ramsdale) ผู้รักษาประตูวัย 26 ปี ซึ่งลงเล่นเพียง 11 นัดให้กับปืนใหญ่ในฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากเสียตำแหน่งให้กับ ดาบิด รายา (David Raya)

แม้ว่าอาร์ เซนอล จะไม่ต้องการเสีย แรมส์เดล ไปแต่พวกเขาก็เข้าใจหากเขาต้องการโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริง การย้ายทีมใดๆ ของผู้รักษาประตูจะต้องเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย และการให้ยืมตัวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นไปได้

มีความสนใจเบื้องต้นจากหลายสโมสร รวมถึง นิวคาสเซิล แต่อนาคต ของแรมส์เดล น่าจะได้ข้อสรุปหลังจากจบศึก ยูโร 2024 ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติ อังกฤษ

แรมส์เดล เหลือสัญญากับ อาร์เซนอล อีกสองปี พร้อมออปชั่นขยายสัญญาเพิ่มอีก 12 เดือน

ตลาดซื้อขายนักเตะฤดูร้อนเปิดแล้ว

ตลาดซื้อขายนักเตะฤดูร้อนปี 2024 ใน พรีเมียร์ลีก และ สก็อตติช พรีเมียร์ชิพเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว โดยจะปิดตลาดในวันที่ 30 สิงหาคม เวลา 23.00 น. ตามเวลาในสหราชอาณาจักรสำหรับ อังกฤษ และ 23.30 น. สำหรับ สกอตแลนด์

พรีเมียร์ลีก และ สก็อตติช พรีเมียร์ชิพ ได้เลื่อนวันปิดตลาดให้สอดคล้องกับลีกใหญ่อื่นๆ ในยุโรป โดยกำหนดวันปิดตลาดหลังจากการหารือร่วมกันระหว่างลีกใน อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี สเปน และ ฝรั่งเศส

sbobetโดยตรง รายงานว่าข่าวนี้ทำให้แฟนบอลปืนใหญ่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และสื่อ sbobetโดยตรง ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของแฟนบอลอาร์เซนอล พบว่าส่วนใหญ่พอใจกับการตัดสินใจของสโมสรในการคว้าตัวรายามาร่วมทีมอย่างถาวร

จากสื่อ sbobetโดยตรง ยังเผยอีกว่าตลาดซื้อขายนักเตะในปีนี้มีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากหลายสโมสรในพรีเมียร์ลีก และคาดว่าการย้ายทีมในฤดูกาลนี้จะมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น

รอย คีน ชี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ไม่มีทางแก้ปัญหาทีมชาติอังกฤษได้ในระยะสั้น

รอย คีน ชี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ไม่มีทางแก้ปัญหาทีมชาติอังกฤษได้ในระยะสั้น

รอย คีน  (Roy Maurice Keane) อดีตกัปตันทีมชาติไอร์แลนด์และตำนานกองกลางของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (manchester united) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของทีมชาติอังกฤษในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 โดยเขาระบุว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต (Gareth Southgate) ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของทีม “สิงโตคำราม” ได้ในระยะเวลาอันสั้น แม้ว่าทีมจะยังคงมีโอกาสในการคว้าแชมป์รายการนี้

ทีมชาติอังกฤษเพิ่งผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของการแข่งขันยูโร 2024 ด้วยชัยชนะแบบหวุดหวิดเหนือทีมชาติสโลวาเกีย ด้วยสกอร์ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ผลงานนี้ทำให้หลายฝ่ายวิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นของทีมที่ยังไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลงานใน 4 นัดที่ผ่านมาตลอดทัวร์นาเมนต์

คีน กล่าวว่า “สถานการณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าน่าอับอายสุดๆ แต่บางครั้งมันก็เกิดเรื่องแบบนั้นได้เป็นธรรมดา สิ่งที่สำคัญคือการเอาตัวรอดให้ได้ การยังได้เข้าสู่รอบต่อไป ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ของรายการนี้ อังกฤษยังได้ไปต่อ หลังจากจบเกมเมื่อวานนี้แล้วน่ะ ผมก็จะไม่กาชื่ออังกฤษออกจากกลุ่มทีมที่ได้ลุ้นแชมป์แน่”

อย่างไรก็ตาม คีน ยังเตือนว่าไม่ควรคาดหวังการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจากทีมชาติอังกฤษ “ถ้าคุณคิดว่า แกเร็ธ กับทีมสตาฟฟ์ของเขาจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ภายในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้แล้วน่ะ มันก็แปลว่าคุณกำลังเพ้อหนักมากๆ มองไปถึงเกมหน้าดีกว่า ตอนนี้พวกเขามีโมเมนตัมที่ดีแล้ว สิ่งที่สำคัญของเกมฟุตบอลคือการเอาชนะในเกมระดับสูงให้ได้”

ความเห็นของ คีน สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่มีต่อฟอร์มการเล่นของทีมชาติอังกฤษในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าทีมจะยังคงเดินหน้าในทัวร์นาเมนต์ได้ แต่การแสดงออกในสนามยังไม่สมกับการเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ของรายการ

แกเร็ธ เซาธ์เกต (Gareth Southgate) ซึ่งนำทีมชาติอังกฤษมาตั้งแต่ปี 2016 ได้พาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2018 และรอบชิงชนะเลิศในยูโร 2020 (จัดในปี 2021 เนื่องจากการระบาดของโควิด-19) แต่ยังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้สำเร็จ ความกดดันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากในการแข่งขันครั้งนี้

ทีมชาติอังกฤษยังคงมีนักเตะดาวดังมากมายในทีม อาทิ แฮร์รี่ เคน, เจดอน ซานโช่, ฟิล โฟเดน และ เดคลาน ไรซ์ แต่การผสมผสานความสามารถของนักเตะเหล่านี้ให้เข้ากันเป็นทีมที่แข็งแกร่งยังคงเป็นความท้าทายสำหรับ เซาธ์เกต

การแข่งขันยูโร 2024 ยังคงดำเนินต่อไป โดยทีมชาติอังกฤษจะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากขึ้นในรอบต่อไป ความสามารถในการปรับปรุงฟอร์มการเล่นและแก้ไขจุดอ่อนของทีมจะเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวไปสู่ความสำเร็จและทั้งนี้หากใครสนใจเดิมพันกีฬาเลือก ทางเข้า สโบเบ็ต888

แม้ว่า รอย คีน (Roy Maurice Keane) จะมองว่าการแก้ปัญหาทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยาก แต่เขาก็ยังเชื่อว่าทีมชาติอังกฤษมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์นี้ การรักษาโมเมนตัมที่ดีและการมุ่งเน้นไปที่เกมถัดไปจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทีม “สิงโตคำราม”

ในขณะที่แฟนบอลชาวอังกฤษและผู้ติดตามฟุตบอลทั่วโลกจับตามองการแสดงออกของทีมในเกมต่อไป ความท้าทายสำหรับ แกเร็ธ เซาธ์เกต (Gareth Southgate)  และลูกทีมของเขาคือการพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถยกระดับการเล่นและแสดงศักยภาพที่แท้จริงของทีมออกมาได้ ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร การแข่งขันยูโร 2024 ครั้งนี้จะเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับอนาคตของทีมชาติอังกฤษและ เซาธ์เกต ในฐานะผู้จัดการทีม

วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าวของรอย คีน และ แกเร็ธ เซาธ์เกต มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ และหากใครอยากเดิมพันเลือก ทางเข้า สโบเบ็ต888

 

แบร์ตี้ โฟ้กตส์ เตือนทีมชาติเยอรมนี อย่าประมาทเดนมาร์กในศึกยูโร 2024

แบร์ตี้ โฟ้กตส์ (Berti Vogts) เตือนทีมชาติเยอรมนี: อย่าประมาทเดนมาร์กในศึกยูโร 2024

แบร์ตี้ โฟ้กตส์ (Berti Vogts) ตำนานกองหลังทีมชาติเยอรมัน ได้ออกมาเตือนทีมชาติเยอรมนีชุดปัจจุบันว่าห้ามประมาทเดนมาร์กในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ โดยเขาได้ย้ำเตือนถึงบทเรียนในอดีตที่ทีม “อินทรีเหล็ก” เคยพลาดท่าให้กับทีมชาติเดนมาร์กมาแล้วในศึกยูโร 1992

โฟ้กตส์ (Berti Vogts) ซึ่งเคยเป็นเทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมนีในช่วงทศวรรษ 1990 ได้เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในยูโร 1992 ว่า ทีมของเขาสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้หลังจากเอาชนะสวีเดน เจ้าภาพ ในรอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์ 3-2 อย่างสุดมัน ทำให้ได้เข้าไปเจอกับเดนมาร์กในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทีม “โคนม” เพิ่งผ่านเนเธอร์แลนด์มาได้จากการดวลจุดโทษ

“ตอนนั้นหลายคนคิดว่าเราน่าจะคว้าแชมป์ได้ไม่ยาก” โฟ้กตส์ (Berti Vogts) กล่าว “เพราะเดนมาร์กเข้ามาเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้แบบไม่ทันตั้งตัว พวกเขาไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วยซ้ำ แต่ได้เข้ามาแทนที่ยูโกสลาเวียที่ถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากปัญหาการเมือง”

อย่างไรก็ตาม ผลการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศกลับไม่เป็นไปตามที่คาด เดนมาร์กสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการเอาชนะเยอรมนีไป 2-0 คว้าแชมป์ยูโรไปครองอย่างน่าทึ่ง

“มันเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับเรา” โฟ้กตส์ (Berti Vogts) กล่าวต่อ “เราประมาทพวกเขา และต้องจ่ายราคาแพงด้วยการพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย”

ด้วยเหตุนี้ โฟ้กตส์ (Berti Vogts) จึงเตือนทีมชาติเยอรมนีชุดปัจจุบันว่าต้องระวังไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย “เดนมาร์กอาจไม่ใช่ทีมที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด แต่พวกเขามีนักเตะที่มีคุณภาพและเล่นเป็นทีมได้ดีมาก เราต้องเคารพพวกเขาและเล่นอย่างเต็มที่ทุกนาที”

นอกจากนี้ โฟ้กตส์ (Berti Vogts) ยังกล่าวถึงเกมล่าสุดของเยอรมนีที่เสมอกับสวิตเซอร์แลนด์ 1-1 ในนัดอุ่นเครื่องว่า “เกมกับสวิสควรเป็นการเตือนที่ดีสำหรับเรา มันแสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถประมาทคู่ต่อสู้ใดๆ ได้เลย ทุกทีมที่มาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายล้วนมีคุณภาพทั้งสิ้น”

ทีมชาติเยอรมนีภายใต้การคุมทีมของ ยูเลียน นาเกลส์มันน์ (Julian Nagelsmann) ได้ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม A โดยชนะสองนัดและเสมอหนึ่งนัด ในขณะที่เดนมาร์กจบอันดับสองในกลุ่ม C ด้วยผลงานชนะสองนัดและแพ้หนึ่งนัด

นาเกลส์มันน์ (Julian Nagelsmann) กุนซือวัย 36 ปี กล่าวว่าเขาเห็นด้วยกับคำเตือนของ โฟ้กตส์ (Berti Vogts) “เราต้องเคารพทุกคู่ต่อสู้ และเดนมาร์กก็เป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก พวกเขามีนักเตะที่เล่นในลีกชั้นนำของยุโรปหลายคน และมีระบบการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมและเล่นอย่างเต็มที่”

ทั้งนี้ เกมระหว่างเยอรมนีกับเดนมาร์กในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของยูโร 2024 จะมีขึ้นที่สนามโอลิมปิกสตาดิโอน ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี โดยผู้ชนะจะผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศต่อไปและหากต้องการติดตามผลฟุตบอล ยูโร 2024 ตารางคะแนน สามารถติดตามได้ทางเว็บไซต์นี้ได้เลย

แฟนบอลชาวเยอรมันต่างหวังว่าทีมของพวกเขาจะสามารถคว้าชัยชนะและเดินหน้าสู่การคว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 4 ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องไม่ลืมบทเรียนจากอดีตและคำเตือนของตำนานอย่างแบร์ตี้ โฟ้กตส์ ที่ย้ำเตือนว่าในฟุตบอลทุกอย่างเป็นไปได้ และการประมาทคู่ต่อสู้อาจนำมาซึ่งความไพ่ายแพ้อย่างไม่คาดฝัน

วันนี้ทางเรา จึงสรุปข่าว แบร์ตี้ โฟ้กตส์ (Berti Vogts) ที่ออกมาเตือนทีมชาติเยอรมนี มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ และหากใครไม่อยากพลาดผลการแข่งขันฟุตบอล ยูโร 2024 ตารางคะแนน สามารถติดตามที่เว็บไซต์นี้ได้เลยครับ

 

บทวิเคราะห์ฟุตบอลยูโร 2024 กลุ่ม อี และ เอฟ: คืนวันพุธที่ 26 มิถุนายน 2567

คืนวันพุธที่ 26 มิถุนายน 2567 นี้ เป็นคืนที่ตื่นเต้นและคาดหวังกันมากสำหรับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ในกลุ่ม อี และ เอฟ หลายทีมยังมีโอกาสลุ้นเข้ารอบต่อไป โดยเราได้คัดสรรข้อมูลและบทวิเคราะห์สำคัญในการคำนวน สูตรแทงบอล และตัวเต็งที่น่าเชียร์มาฝากทุกท่าน

ยูเครน(Ukraine) – เบลเยียม(Belgium)
การแข่งขันระหว่างยูเครนและเบลเยียมนั้นคาดว่าจะเป็นเกมที่เปิดกว้างและเต็มไปด้วยการทำประตู ทั้งสองทีมต้องการชัยชนะเพื่อความหวังในการเข้ารอบ เบลเยียมต้องการคว้าแชมป์กลุ่ม ส่วนยูเครนที่ผลต่างคะแนนเป็นรองคนอื่น ๆ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชนะเท่านั้น เพื่อความหวังในการเข้ารอบน็อกเอาต์ โอกาสที่จะเห็นการยิงประตูสูงเกินกว่า 2 ประตูมีความเป็นไปได้สูง ดังนั้นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแทงบอลแบบสกอร์สูง คู่นี้น่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง

สโลวาเกีย(Slovakia) – โรมาเนีย(Romania)
ในอีกเกมที่สำคัญของกลุ่ม อี ระหว่างสโลวาเกียและโรมาเนีย คู่นี้มีแนวโน้มที่จะแข่งขันกันอย่างระมัดระวัง เนื่องจากผลเสมอเพียงพอสำหรับทั้งสองทีมที่จะกอดคอกันเข้ารอบน็อกเอาต์ ดังนั้นเกมนี้คาดว่าจะมีสกอร์ต่ำ การยิงประตูรวมกันไม่เกิน 2 ประตูเป็นไปได้สูง ใครที่ชอบแทงสกอร์ต่ำ คู่นี้น่าสนใจ

สาธารณรัฐเช็ก(Czech Republic) – ตุรกี(Turkiye)
การแข่งขันระหว่างสาธารณรัฐเช็กและตุรกี คาดว่าจะเป็นการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและการทำประตู สาธารณรัฐเช็กมีฟอร์มการเล่นที่ไม่แน่นอน แต่เมื่อสถานการณ์บังคับให้ต้องชนะเพื่อเข้ารอบ พวกเขาจะต้องเล่นให้เต็มที่และเจอกับตุรกีที่มีสไตล์การเล่นที่ไม่ถอยหลัง ดังนั้นคู่นี้คาดว่าจะมีการยิงประตูจากทั้งสองทีม ทำให้เหมาะสำหรับการแทงบอลแบบทั้งสองทีมทำประตูได้

จอร์เจีย(Georgia) – โปรตุเกส(Portugal)
โปรตุเกสที่ชนะรวดในรอบแบ่งกลุ่มและคว้าแชมป์กลุ่มได้แน่นอนแล้ว จะมีการหมุนเวียนนักเตะในทีมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรอบต่อไป แม้ว่าจะใช้ทีมสำรองในการเจอกับจอร์เจีย แต่โปรตุเกสยังคงมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งพอที่จะชนะจอร์เจียได้ จอร์เจียจำเป็นต้องเดินหน้าเพื่อหวังเข้ารอบ ทำให้เกมนี้มีโอกาสที่โปรตุเกสจะชนะและยิงมากกว่า 1 ประตู

บทสรุป
ในคืนวันพุธที่ 26 มิถุนายน 2567 นี้ การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ในกลุ่ม อี และ เอฟ จะเป็นการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยการทำประตู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคู่ของยูเครน-เบลเยียม และสาธารณรัฐเช็ก-ตุรกี สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแทงบอลควรพิจารณาเลือกแทงตามบทวิเคราะห์และข้อมูลที่เรานำเสนอ เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะเดิมพันและเพิ่มความสนุกสนานในการติดตามการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024

ไม่ว่าจะเป็นการแทงสกอร์สูงในคู่ของยูเครน-เบลเยียม หรือการแทงสกอร์ต่ำในคู่ของสโลวาเกีย-โรมาเนีย หรือการแทงว่าทั้งสองทีมจะทำประตูได้ในคู่ของสาธารณรัฐเช็ก-ตุรกี ทั้งหมดนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการแทงบอลออนไลน์ในคืนวันพุธที่ 26 มิถุนายน 2567 นี้

สิ่งที่ต้องรอดู ในไลน์อัพใหม่ของ โซลชาร์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นที่จับตามองอย่างมาก ในเกมลีคนัดถัดไปที่จะกลับมาเจอกับ นิวคาสเซิ่ล บอกเลยว่าเกมนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด มองจากฟอร์มในเกมล่าสุดที่แพ้สเปอร์ส เละเทะ เกมนี้เค้าต้องกู้ศรัทธากลับมาให้ได้ อย่างไรก็ตามก่อนเกมนี้ แฟนบอลคงต้องรอดูไลน์อัพลงสนามของแมนยู ภายใต้แผนของโซลชาร์ว่าจะเป็นอย่างไร

โกล + กองหลัง ใครดี

เรารู้กันดีว่า โกล มือหนึ่งของทีมตอนนี้เป็น ดาวิด เดเคอา แต่ว่าความผิดพลาดอย่างต่อเนื่องในเกมกับสเปอร์ส มาถึงเกมทีมชาติ ทำให้น่าคิดเหมือนกันว่า เค้าจะได้ลงเป็นมือหนึ่งหรือไม่ในเกมสำคัญอย่างนี้ หรือจะเป็นดีน เฮนเดอร์สัน จะสอดแทรกตัวจริงขึ้นมาได้ ขยับขึ้นมาเป็นกองหลัง แมกไกรว์ เป็นคำถามสำคัญว่าเค้ามั่นใจและฟิตพอสำหรับเกมนี้หรือไม่ หรือ โซลชาร์ จะเสี่ยงกับคู่หูพร้อมแจกอย่าง ลินเดอเลิฟและไบญี่ ดี ส่วนแบ็คตัวใหม่อย่าง เตลลิส ที่ดูจะมีความสดใหม่ และ เกมบุกที่ดีกว่า ลุค ชอว์ จะได้ลงสนามเปิดตัวในเกมนี้หรือไม่ อันนี้น่าติดตาม

กองกลางใครดี

กองกลางตอนนี้ มีตัวยืนอยู่แล้ว บรูโน่ แฟร์นันเดส ส่วนป็อกบาอาจจะต้องรอฟิต อย่างไรก็ตามฟิตไม่ฟิตก็ต้องส่งลงสนาม แต่คำถามน่าจะเป็นคนที่สาม ดอนนี่ ฟานเดอ บีค ตอนนี้ฟอร์มดีมาก ในเกมลีคคัพก็ประสานงานเล่นกับเพื่อนชิ่งได้น่าสนใจ หรือจะเป็น เกมทีมชาติเจ้าตัวก็ยิงได้ด้วย โซลชาร์ จะตัดสินใจให้คนนี้ลงสนามเลยหรือไม่ หรือจะปรับไปยืนแทน ป็อกบา แล้วส่งมาติชมาเป็นตัวรับแทน แฟนบอลต้องดู

กองหน้าใคร

หน้าสุด หากเป็นกองหน้าสามตัว ก็คงจะไม่พ้น แรชเฟิร์ด กับ กรีนวู้ด น่าจะได้ลง แต่คำถามก็คือว่า ในเมื่อ มาร์คซิยาล ต้องมาโดนแบนจากใบแดงในเกมล่าสุด รวมถึง คาวานี่ ยังลงไม่ได้เนื่องจากต้องกักตัว ใครจะได้ลงมาเป็นคนที่สาม  หรือจะเลือกปรับเป็นเล่นหน้าคู่ แล้วเพิ่มกองกลางลงไปแทน อันนี้ต้องมาดูกัน

 

สาเหตุที่ทำให้ รีล มาดริด แพ้เชลซี

รีล มาดริด กลายเป็นอีกหนึ่งทีมที่ฝันสลาย ไม่ได้เข้าชิง UCL ในซีซั่นนี้ ทั้งที่ก็ต้องยอมรับว่า พวกเค้ามีโอกาสสูงเหมือนกันที่จะทำได้ แต่สุดท้ายเกมที่สองก็เหมือนทำให้เค้าตื่นจากฝันว่า ตอนนี้คุณภาพทีมของพวกเค้าห่างจากเชลซีมากอยู่เหมือนกัน เราดูเกมนัดที่สองเห็นกันชัดๆเลยว่า รีล มาดริด สู้เชลซีแทบไม่ได้เลย นี่คือสาเหตุที่พวกเค้าแพ้แบบหมดรูป

ความฟิตของนักเตะ

สิ่งแรกที่เราเห็นได้ชัดเลย เป็นเรื่องของความฟิตนักเตะที่ เกมนี้ รีล มาดริด เหมือนนักเตะไม่ได้กินข้าวกันมา เล่นกันแทบไม่ไหวเลย ขนาดวิ่งแล้วก็ยังตามนักเตะเชลซีไม่ทันเหมือนเดิม กลับกันนักเตะเชลซี อยู่ในสภาพที่ฟิตมาก วิ่งกันเหมือนม้าห้อตะบึงไปทั่วท้องหญ้าในสนามเพื่อต้องการเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ เกมระดับสูงอย่างนี้พอความฟิตสู้กันไม่ได้ ทุกอย่างก็จบเลย วิ่งตามไม่ทันจะแย่งบอลได้อย่างไร

อาซาร์ มาเหมือนไม่มา

เกมนี้อีกจุดหนึ่งที่ทำไม่ได้ตามที่ ซีดาน กุนซือของทีมวางแผนเอาไว้ไม่เป็นดังใจต้องการ ก็คงเป็นเรื่องฟอร์มของ เอแดง อารซาร์ เพลย์เมกเกอร์ คนคุ้นเคยกันดีกับนักเตะเชลซี  อาร์ซาร์ ลงสนามในเกมนี้ต้องบอกว่า ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานอย่างมาก เจ้าตัวแทบจะไม่มีโอกาสพลิกบอลทำอะไรได้เลย พอได้บอลก็ถูกอีกฝ่ายเข้ามาบล็อก ประกบติดหนึบ จนไม่สามารถทำอะไรได้ถนัดมากนัก จนต้องถูกเปลี่ยนออกไป

หลังสาม ไม่ถนัด

จากเกมที่แล้วเราเคยบอกไปแล้วว่า การเล่นหลังสามกับเชลซี หากคุณไม่แน่จริง อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายได้ ซึ่งคราวนี้ซีดานเองก็เจอเข้ากับตัวเอง น่าแปลกที่เค้าเลือกสู้กับเชลซีด้วยระบบหลังสาม ทั้งที่รู้ว่าเชลซีถนัดแบบนี้ แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น นักเตะรีล มาดริด ไม่ถนัดกับแผนนี้เท่าไรนัก กลับกัน เชลซี เค้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหลังสาม พอมาเจอแบบนี้ก็ยิ้มหวานกันเลยทีเดียว ส่วนรีล มาดริด ก็อึดอัดกับความไม่เป็นตัวเอง จนจบเกมไป

 

เก็บตกหลังเกม แดงเดือน เวอร์ชั่น FA คัพ

เก็บตกหลังเกม แดงเดือน เวอร์ชั่น FA คัพ

เกมเอฟเอคัพ รอบสี่ ต้องยอมรับว่า คู่เอกประจำรายการรอบนี้ คงเป็นคู่ไหนไม่ได้เลย นั่นก็คือ แดงเดือดเวอร์ชั่น FA คัพที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไรนัก ทั้งคู่เพิ่งใส่กันมาในเกมลีค เสมอกันไป 0-0 แบบเหมือนมีอะไรคาใจกันเล็กน้อย พอมาเกมนี้ต้องยอมรับว่า ทั้งคู่ใส่สุดจริง เพราะไม่มีใครอยากแพ้อริตลอดกาลในถ้วยนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้แก้มือตอนไหนอีก มาดูกันว่าหลังเกมนี้มีประเด็นเก็บตกน่าสนใจกันบ้าง

หงส์แดงกลับมายิงได้

ว่ากันเรื่องหงส์แดง ลิเวอร์พูลก่อน ลงสนามเกมนี้ ลิเวอร์พูลมีปัญหาทั้งกองหน้า และกองหลัง ในคราวเดียวกัน กองหน้าของทีมกำลังอยู่ในสภาพปืนฝืดมาก ยิงใครไม่ค่อยได้เท่าไร แต่เกมนี้เป็นหนึ่งในรอบหลายเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถยิงได้มากกว่า 1 ประตูในเกมเดียว เสียดายอย่างเดียวที่แพ้ไปในเกมนี้ อย่างไรก็ตามนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกเรื่องเดียวที่ทำให้ลิเวอร์พูลยังพอยิ้มได้บ้าง

ความผิดพลาดของกองหลัง

เกมนี้เป็นเกมนัดเดียวตัดสิน ทำให้ทั้งสองทีมรู้ดีว่า สุดท้ายต้องมีผู้ชนะเท่านั้น เลยทำให้แท็คติคในเกมนี้เปลี่ยนไป เป็นการเล่นฟุตบอลเพื่อเอาชนะอย่างแท้จริง ตัวตัดสินของเกมนี้ก็เลยเป็นกองหลังว่าใครจะพลาดมากกว่ากัน จะว่าไปแล้วกองหลังของทั้งคู่ก็มีข้อผิดพลาดด้วยกันทั้งหมด ทั้งรูปแบบการเล่น และการเล่นส่วนบุคคล จนทำให้อีกฝ่ายได้ประตูไป แต่ว่าเป็นทางลิเวอร์พูลที่กองหลังพลาดมากกว่า และ แมนยูฉวยได้มากกว่าก็เท่านั้นเอง

การคัมแบ็ค(อีกแล้ว)

ฝั่งแมนยูกันบ้าง หากใครเป็นแฟนบอลยูไนเต็ด มาตั้งแต่ยุค 90 สิ่งที่เห็นจนชินตาก็คือ การคัมแบ็คกลับมาชนะได้แม้ว่าจะโดนนำไปก่อน ซีซั่นนี้ ยูไนเต็ด ของโซลชา ได้นำคาแรกเตอร์นี่กลับมาอีกครั้ง การโดนนำไปก่อน แล้วพลิกกลับมาชนะได้ 3-2 ในช่วงท้ายของเกม เป็นเรื่องที่แฟนบอลยูไนเต็ดซีซั่นนี้เริ่มชินตา จนถึงนักเตะเองเวลาโดนไปก่อน พวกเค้าไม่มีถอดใจเลยเหมือนมั่นใจว่าจะกลับมาได้ แม้ทีมนั้นจะเป็นลิเวอร์พูลก็ตาม คาแรกเตอร์แบบนี้ แฟนบอลบอก รอมานานแล้ว

เดาใจแท็คติค ลิเวอร์พูล ในวันที่ขาด ฟานไดค์

เดาใจแท็คติค ลิเวอร์พูล ในวันที่ขาด ฟานไดค์

แม้ว่าเชลซี กับ สเปอร์ส จะมาหลุดเสมอแบบน่าเขกกะโหลกตัวเองที่สกอร์ 3-3 แต่เชื่อเหอะว่า ทีมที่น่าสงสารสุดในเกมวีคนี้คงนี้ไม่พ้น ลิเวอร์พูลอย่างแน่นอน การเสมอ 2-2 ยังไม่เสียหายเท่ากับ การที่เค้าต้องเสีย เวอร์กิล ฟานไดค์ ไปแบบตลอดฤดูกาลจากอาการบาดเจ็บ จากการเข้าปะทะกับจอร์แดน พิคฟอร์ด ทีนี้เรามาลองเดาใจกันว่า คล็อปป์จะวางแท็คติคอย่างไรในสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

3-5-2 หรือ 4-3-3

มาว่ากันที่ฟอร์เมชั่นกันก่อน การขาดฟานไดค์ไป เท่ากับว่าเค้าต้องหันกลับมาแก้ไขเกมรับให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่งั้นบุกยิงเท่าไร ก็พร้อมเสียก็เท่ากับแพ้อยู่ดี ทีนี้ฟอร์เมชั่นที่น่าจะเป็นไปได้ ก็น่าจะเป็นเล่นระบบหลังสี่ตัว แล้วส่ง ฟาบินโญ่ ลงมายืนเป็นตัวหลักแทน คู่กับ โจ โกเมส หรือ โจเอล มาติป คนใดคนหนึ่ง

หรืออีกทางเลือกหนึ่ง เรามองว่าเป็นระบบ หลังสาม ใช้ ฟาบินโญ่, โจ โกเมสและ มาติป มาหมดเลยยืนเป็น 3 คนเรียงกัน แล้วใช้วิงแบ็ค คอยหุบเข้ามาช่วยเป็นระบบหลังห้า เพื่อเน้นให้เหนียวเอาไว้ก่อน

มิดฟิลด์ตัวรับสองตัว

ในยามที่เราต้องการไม่เสียประตูเอาไว้ก่อน ทางเลือกแท็คติคส์ที่เป็นไปได้ก็น่าจะเป็นการดึงมิดฟิลด์ตัวรับมาเป็นสองตัว เพื่อช่วยกันลดทอนการบุกของฝ่ายตรงข้ามให้มาถึงกองหลังช้า และ น้อยที่สุด หากเป็นแบบนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น่าจะได้ยืนคู่กับ ไวจ์นัลดุม แล้วส่ง ธิอาโก ไปยืนหน้าสุดเพื่อคอยเชื่อมเกมจากกลางไปหน้าให้กองหน้าสามตัว

ส่วนอีกแบบที่คิดว่าเป็นไปได้น้อยที่สุดหากต้องการใช้มิดฟิลด์ตัวรับสองตัว เป็นการยืนกองกลางห้าคน ให้เฮนเดอร์สัน คู่กับ ไวจ์นัลดุม เหมือนเดิม แล้วให้ ธิอาโก้ ยืนหน้าต่ำ แล้วให้ มาเน่ ค้ำหน้าคนเดียว ซาลาห์ไปยืนปีกซ้าย แล้วอีกทางอาจจะเป็นเกอิต้า หรือ มินามิโนะแทน ต้องดูกันว่า เกม UCL ลิเวอร์พูลจะจัดทัพอย่างไร

ปารีส การทำลายสถิติสุดโหด

ปารีส การทำลายสถิติสุดโหด

ปารีส แซงแชกแมงค์ เรารู้กันดีว่า สิ่งที่เค้าต้องการมากที่สุดนาทีนี้ก็คือ ถ้วยแชมป์ UCL ซีซั่นที่แล้วพวกเค้าทำได้ใกล้เคียงมาก เมื่อเดินทางไปถึงรอบชิงชนะเลิศกันเลย แม้ว่าจะพลาดไปในก้าวสุดท้ายต่อบาเยิร์น มิวนิค ก็ตามที กลับมาซีซั่นนี้พวกเค้ากลับมาพร้อมกับฟุตบอลที่สูงมากขึ้น จนทำให้การมาของซีซั่นนี้พวกเค้าฟอร์มดี และ เล่นเพื่อผลการแข่งขันได้ดีมากขึ้นจนทำให้พวกเค้าทำลายสถิติบางทีลงไปในซีซั่นนี้

หยุดสถิติของ บาร์เซโลนา

ก่อนจะมาถึงรอบนี้ได้ ย้อนกลับไปรอบก่อนหน้านี้ พวกเค้าเจอของแข็งเหมือนกันอย่าง บาร์เซโลนา การได้เจอเพื่อนเก่าอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ทำให้เกมนี้ไม่ง่ายเลย แต่ว่าสุดท้าย ปารีส ก็เอาชนะมาได้ การถีบ บาร์ซา ตกรอบทำให้พวกเค้าได้ทำลายสถิติของ บาร์ซาไปด้วยก็คือ การหยุดสถิติชนะรวด 13 เกม ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของบาร์ซาลงไปได้ แสดงให้เห็นว่าพวกเค้ามีดีพอเหมือนกัน

หยุดสถิติของ บาเยิร์น มิวนิค

พอหลุดจากบาร์ซา นึกว่าหมดแล้ว แต่เป็นด่านที่หินกว่าเดิม ก็คือ บาเยิร์น มิวนิค เรารู้กันดีว่า คุณภาพของยักษ์เยอรมันทีมนี้เป็นอย่างไร เอาแค่ว่า ซีซั่นก่อนจนถึงซีซั่นนี้พวกยังไม่แพ้ใครเลยตลอดเส้นทาง ถือว่าสุดยอดแล้ว ทีนี้มาเกมนี้ กลายเป็น ปารีส ที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ได้ หยุดสถิติไม่แพ้ใคร ไม่เท่านั้น นี่ยังเป็นการตกรอบครั้งแรกของ บาเยิร์น มิวนิค ตลอดเกือบสองซีซั่นในรายการนี้เลยทีเดียว (ครั้งสุดท้ายที่ตกรอบ ก็โน่นเลยรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่บาเยิร์น มิวนิค ถูกลิเวอร์พูลเตะตกรอบในซีซั่น 2018-2019) ถือว่าร้ายกาจมากสำหรับการทำลายสองสถิตินี้ ต้องยอมรับว่าหาก ปารีส สามารถฝ่าด่าน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเล่นรอบชิงได้อีก(ก็ต้องมาดูกันว่า ปารีสจะทำลายสถิติไม่แพ้ใครเลยตลอดซีซั่นนี้ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ในรายการนี้ได้หรือไม่) หากเค้าทำได้อีกการที่เค้าจะได้เป็นแชมป์ UCL สมัยแรกเสียที ถือว่าเหมาะสมทุกประการทั้งปวงเลย